ไขข้อสงสัย ชนิด วิธีการ ผลข้างเคียง ‘วัคซีนโควิด-19 ในเด็ก’
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งการใช้ชีวิต เศรษฐกิจ รวมถึงการไปโรงเรียนของเด็ก ๆ ที่ต้องเปลี่ยนไปเรียนออนไลน์นานนับปี ซึ่งส่งผลเสียต่อการเรียนรู้และความเครียดของเด็กเป็นอย่างมาก วัคซีนโควิด-19 จึงถือเป็นความหวังที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้กลับไปเรียนตามปกติอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญแนะใช้ ‘ไฟเซอร์’ กับเด็กเท่านั้น
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศฉบับล่าสุดเกี่ยวกับคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด-19 สําหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป (ฉบับที่ 2) ว่ามีเพียง ‘ไฟเซอร์’ (Pfizer-BioNTech) เท่านั้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
ขณะที่ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้วางแนวทางในการฉีดวัคซีน ‘ไฟเซอร์’ สำหรับเด็กอายุ 12 – 17 ปี ราว 4.5 ล้านคน โดยคาดว่าจะเริ่มฉีด 4 ตุลาคม 2564 นี้
ผลข้างเคียงในเด็ก เมื่อฉีด ‘ไฟเซอร์’
ปกรัฐ หังสสูต อาจารย์ประจำหน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตอบข้อกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อบุหัวใจในเด็กจากการฉีดวัคซีน mRNA ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ว่ามีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่พบน้อยมาก และส่วนใหญ่มีอาการน้อย รักษาหายได้ มักเกิดผลข้างเคียงในเข็มที่ 2 โดยพบในอัตรา 8.7 ใน 1,000,000 และแม้จะเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ทางรัฐบาลประเทศแคนาดาก็ยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิดชนิด mRNA ให้แก่เด็กที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป หรือแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรก็ได้อนุญาตให้ฉีดในเด็กอายุ 12 – 17 ปีแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้อาจารย์ปกรัฐยังได้กล่าวอีกว่าจะไม่ฉีดวัคซีนในเด็กก็ได้ แต่เด็กก็มีความเสี่ยงที่จะป่วยและเสียชีวิตได้ แม้ว่าความเสี่ยงจะน้อยกว่าผู้ใหญ่ และที่สำคัญ หากติดเชื้อแล้ว ถึงไม่ป่วย ก็ยังสามารถนำเชื้อไปแพร่ให้กับคนอื่น ๆ ในครอบครัวได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมโรคให้ได้
นำร่องฉีดวัคซีนเชื้อตาย ‘ซิโนฟาร์ม’ กับเด็ก
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้เริ่มโครงการศึกษาวิจัย ‘VACC 2 School’ โดยนำร่องฉีดวัคซีนชนิดเชื้อไวรัสตาย ‘ซิโนฟาร์ม’ ให้กับเด็กและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 10-18 ปี ซึ่งประเดิมฉีดให้นักเรียนจำนวนกว่า 2,000 คน และคาดว่าจะมีเด็กรับวัคซีนรวม 108,000 คน ทั้งเด็กมัธยมต้น และมัธยมปลาย เพื่อให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตที่โรงเรียนตามปกติได้
ทางด้าน ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า โครงการศึกษาวิจัยการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มในเด็กอายุระหว่าง 10 – 18 ปี นั้นมีตัวอย่างการศึกษาในต่างประเทศแล้ว ทั้งประเทศชิลี ศรีลังกา จีน และยูเออี โดยพบว่ามีความปลอดภัยสูง พบอาการข้างเคียงเพียง 0.2% เท่านั้น ถือว่าไม่พบอาการข้างเคียงในเด็กมากนัก แต่ประเทศไทยยังไม่มีการศึกษา ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จึงได้จัดโครงการวิจัยนี้ขึ้นมา โดยผ่านคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แล้ว
ศ.นพ.นิธิ ได้กล่าวอีกว่า วัคซีนชนิดเชื้อไวรัสตายนั้นมีการใช้กันมานาน ทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ตับอักเสบ พิษสุนัขบ้า เป็นต้น ซึ่งวัคซีนชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมาก อาการข้างเคียงต่ำ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว และความรุนแรงต่ำกว่าวัคซีนชนิดอื่น ๆ
เด็กไม่รับวัคซีนจะยังไปโรงเรียนกับเพื่อนได้ไหม
กระทรวงสาธารณสุขได้ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการเปิดเรียน แต่ฉีดเพื่อช่วยให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ยังสามารถเข้าเรียนได้ ร่วมกับการเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
การฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ในเด็ก
การพิจารณากระตุ้นเข็ม 3 ในเด็กขึ้นอยู่กับการระบาดจากนี้ในอีก 4 – 6 เดือนข้างหน้านี้
ที่มา :
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
ปกรัฐ หังสสูต อาจารย์ประจำหน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย