ข้อควรระวังกับ 13 โรคที่พบบ่อยในการบริจาคโลหิต
หลาย ๆ ท่านทราบดีอยู่แล้วว่าการบริจาคโลหิต มีประโยชน์ในเรื่องของการได้ช่วยชีวิตเพื่อมนุษย์ที่ต้องการเลือดเพื่อรักษา และการมีโลหิตที่มีคุณภาพนั้นสำคัญมาก เพราะมันสร้างด้วยการสังเคราะห์ขึ้นเองไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเก็บสะสมจากผู้บริจาคที่เป็นอาสาสมัคร แต่การบริจาคโลหิตก็มีข้อห้ามสำหรับคนที่เป็นโรคที่ห้ามบริจาคด้วยเช่นกัน
—————————————-
ขอเชิญร่วมบริจาคโลหิต
วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565
เวลา 09:00-15:00 น.
ณ อาคารผู้ป่วยนอก ชั้น G
โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
เพราะคำว่าให้ไม่มีที่สิ้นสุด..
เเค่หนึ่งหยดโลหิต ก็ช่วยต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์
—————————————-
เพื่อรักษามาตรการป้องกันโรค COVID-19
และลดความแออัดภายในพื้นที่
ผู้บริจาคโลหิตที่ปริ้นแบบฟอร์มใบสมัครผู้บริจาคโลหิตมาจากบ้านได้
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัครผู้บริจาคโลหิต
คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
โรคที่ควรระวังในการบริจาคเลือด
- โรคเบาหวาน
ผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถบริจาคโลหิตได้เช่นกัน แต่ต้องไม่ฉีดอินซูลิน และไม่มีโรคแทรกซ้อน
- โรคความดันโลหิตสูง
ผู้ที่เป็นโรคนี้ ก็สามารถบริจาคโลหิตได้เช่นกัน หากสามารถควบคุมความดันให้ไม่เกิน 160/100 และไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
- โรคไขมันในเลือดสูง
ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเช่นเส้นเลือดในสมอง หรือเส้นเลือดหัวใจแตก หรืออุดตัน ก็สามารถบริจาคโลหิตได้
- โรคไทรอยด์
ผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ แต่ถ้าระดับฮอร์โมนกลับมาปกติ โดยไม่ต้องรับยาแล้วอย่างน้อย 8 สัปดาห์ หรือแพทย์อนุญาตให้หยุดรักษาแล้ว 2 ปี ก็สามารถบริจาคเลือดได้ แต่ถ้าเป็นไทรอยด์ที่เกิดจากมะเร็ง หรือโรคภูมิคุ้มกัน จะไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ถาวร
- โรคลมชัก
หากหยุดยามาแล้ว 3 ปี และมีใบรับรองแพทย์ ผู้ที่เป็นโรคลมชักก็สามารถบริจาคได้
- โรคมะเร็งทุกชนิด
ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งทุกชนิด แม้ว่าจะรักษาหายแล้ว ก็จะไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ถาวร
- โรควัณโรค
ผู้ที่เป็นโรคนี้ จะสามารถบริจาคโลหิตได้ก็ต่อเมื่อรักษาจนหายแล้ว แล้วหยุดยาเม็ดสุดท้ายมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี
- โรคหอบหืด
แม้ว่าจะควบคุมอาการโดยใช้ยากินแบบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ หรือใช้ยาพ่น ก็สามารถบริจาคได้ แต่วันที่มาบริจาคจะต้องไม่มีอาการ
- โรคตับอักเสบ
หากเป็นตับอับเสบชนิดเอ เมื่อรักษาหายแล้วก็สามารถบริจาคได้ แต่ถ้าเป็นตับอักเสบชนิดบี หรือซี จะต้องงดบริจาคโลหิตถาวร
- โรคไข้หวัด ไข้เลือดออก โรคชิคุนกุนยา
สามารถบริจาคได้หลังรักษาหายแล้ว 1 เดือน
- โรคไข้ซิกา
สามารถบริจาคได้หลังจากรักษาหายแล้ว 4 เดือน
- โรคมาลาเรีย
สามารถบริจาคได้หลังจากรักษาหายแล้ว 3 ปี
- โรคโควิด
ให้งดบริจาคโลหิต 4 สัปดาห์
นอกจากนี้ถ้าหากคุณป่วย และมีการใช้ยาปฏิชีวนะอยู่ ไม่ควรมาบริจาคโลหิต และจะสามารถมาบริจาคได้เมื่อหยุดยาแล้ว 7 วัน ส่วนผู้ที่ใช้ยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อ ก็ควรหยุดยาอย่างน้อย 2 วันก่อนมาบริจาค
ขอขอบคุณ อ. พญ. กุลวรา กิตติสาเรศ ที่มา www.si.mahidol.ac.th