โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
อั้นปัสสาวะบ่อย ๆ จนปัสสาวะได้น้อย มีอาการปวด ปัสสาวะขุ่น อาการเหล่านี้อาจกำลังบอกว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หลายคนมักจะอดทนกับความทรมาน หายากินเองและมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่รู้ไหม! โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้ออื่น ๆ ตามมา
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือ Cytstitis เป็นหนึ่งในโรคทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ (Urinary tract infection) มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเนื่องด้วยสรีระและกายวิภาคของเพศหญิงที่ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อได้มากกว่าเพศชาย
โดยช่วงอายุที่พบมากคือ 20 ปีขึ้นไป ปัจจัยสำคัญที่พบบ่อยครั้งคือการมีพฤติกรรมกลั้นปัสสาวะนานหรือบ่อย ๆ โดยเฉพาะวัยทำงาน ทำให้ปัสสาวะแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ เชื้อโรคที่มีอยู่จึงเจริญเติบโตได้
อาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ปัสสาวะบ่อย กะปริดกระปรอย ครั้งละน้อย ๆ มีอาการคล้ายปัสสาวะไม่สุด
- รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย ปวดแสบ ขัด ร้อนขณะปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนปัสสาวะสุด
- ปัสสาวะขุ่น บางครั้งมีกลิ่นผิดปกติ
- ปัสสาวะมีเลือดปน
- มักไม่มีไข้ (ยกเว้นถ้ามีกรวยไตอักเสบ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะสีขุ่น และมีปวดเอวร่วมด้วย)
- ในเด็กอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอน มีไข้ เบื่ออาหาร อาเจียน อ่อนเพลีย
- ในผู้สูงอายุบางคน จะไม่มีอาการทางปัสสาวะ แต่จะมีอาการอ่อนเพลีย สับสน หรือมีไข้ได้
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากอะไร ?
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย E. coli (Escherichia coli) ซึ่งพบได้มากถึง 75-95% และเชื้อแบคทีเรียเคล็บซิลลา ซึ่งเป็นเชื้อที่มีอยู่มากในลำไส้ และบริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก เชื้อเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น การรักษาสุขอนามัยของร่างกายได้ไม่ดีพอ การมีเพศสัมพันธ์ การใช้กระดาษชำระเช็ดหลังปัสสาวะผิดวิธี การใช้ผ้าอนามัยแบบสอด เป็นต้น โดยในผู้ชายจะมีโอกาสติดเชื้อได้น้อย เนื่องจากมีท่อปัสสาวะยาวและอยู่ห่างจากทวารหนัก
เชื้อโรคเหล่านี้จึงมักลักลอบเข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะของเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่ปวดร่างกายก็จะสามารถขับเอาเชื้อโรคนั้นออกมาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ แต่หากกลั้นปัสสาวะนาน ๆ เชื้อโรคก็จะมีการเจริญเติบโตมากขึ้น
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียสามารักษาได้โดย
- การรับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยระยะเวลาในการรับประทานยาจะขึ้นอยู่กับชนิดของยาและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ตามความเหมาะสม
- การรักษาโดยให้ยาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด, ยาคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจสั่งจ่ายครีมสำหรับใช้ทาช่องคลอด ซึ่งเป็นฮอร์โมนทดแทน เนื่องจากในวัยหมดประจำเดือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะของร่างกาย ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องคลอดเสียสมดุลจึงไวต่อการติดเชื้อและระคายเคืองได้ง่าย
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น
- หากมีการติดเชื้อซ้ำบ่อย ๆ อย่างน้อย 2 ครั้งใน 6 เดือน หรือ 3 ครั้งในหนึ่งปี ควรต้องเข้ารับการตรวจระบบทางเดินปัสสาวะเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของการเกิดการติดเชื้อ
ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย แต่ก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- การใช้ยา ส่วนประกอบในยาบางชนิดอาจมีผลต่อการอักเสบหรือระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะยาเคมีบำบัด เช่น cyclophosphamide
- มีประวัติการฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้เนื้อเยื่อภายในกระเพาะปัสสาวะบริเวณที่โดนฉายรังสีเกิดการอักเสบขึ้นได้
- สิ่งแปลกปลอมภายนอก เช่น การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการติดเชื้อและทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบตามมา
- ปัญหาสุขภาพอย่างอื่น หรือโรคประจำตัว เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ, ภาวะต่อมลูกหมากโต หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหลังที่ส่งผลต่อระบบขับถ่ายปัสสาวะ เป็นต้น
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากสาเหตุอื่น รักษาโดย
- ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ไปกระตุ้นให้เกิดโรค เช่น หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่สร้างความระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ
- รักษาแบบบรรเทาและตามอาการของผู้ป่วย
หากมีอาการหรือภาวะสงสัยกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยตัวโรค โดยเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงส่งตรวจปัสสาวะตามความเหมาะสม รวมถึงอาจพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติมเช่น เจาะเลือดดูการทำงานค่าไต เอกซเรย์ อัลตราซาวด์ ตามข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อหาสาเหตุและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
หากกระเพาะปัสสาวะอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เชื้ออาจแพร่กระจายไปจนถึง กรวยไต ทำให้กรวยไตอักเสบ และอาจจะสร้างความเสียหายกับไตอย่างถาวรได้ อาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลัง ปวดเอว ไข้สูง หนาวสั่น ยิ่งหากมีการอักเสบติดเชื้อรุนแรง อาจลุกลามเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือดจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับผู้ชายเชื้อก็อาจลุกลามเข้าไปทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ หรืออัณฑะอักเสบขึ้นได้อีกด้วย
ในปัจจุบัน โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบพบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทำงาน ซึ่งอาจเกิดได้หลายปัจจัย เช่น รู้สึกไม่อยากเข้าห้องน้ำตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เพราะกลัวห้องน้ำไม่สะอาด กลัวเชื้อโรคจากเข้าห้องน้ำสาธารณะร่วมกับผู้อื่น การชำระล้างทำความสะอาดที่ไม่ถูกวิธี หรือการใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน รวมถึงการดื่มน้ำน้อย ดังนั้น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจึงเป็นโรคที่เรียกว่า โรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรม ซึ่งหากเป็นซ้ำ ๆ หลายครั้ง ก็มีโอกาสพบเชื้อโรคที่ดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อทีมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ ยังสามารถพัฒนากลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นหากมีอาการปัสสาวะบ่อย กะปริดกระปรอย ครั้งละน้อย ๆ มีอาการคล้ายปัสสาวะไม่สุด รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย ปวดแสบ ขัด ร้อนขณะปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนปัสสาวะสุด ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกวิธี