โรคข้อสะโพกเสื่อม ภัยร้ายที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
โรคข้อสะโพกเสื่อม คืออะไร?
โรคข้อสะโพกเสื่อม คือ รูปแบบหนึ่งของข้ออักเสบที่เกิดจากการที่กระดูกอ่อนที่คลุมพื้นผิวของข้อเสื่อมล่อนหลุดออกไป เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ ทำให้กระดูกมีการเสียดสีกันโดยตรง จนทำให้เกิดอาการปวดและมีการเคลื่อนไหวติดขัด และหากอาการรุนแรงขึ้นก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การขึ้นลงบันได หรืออาจรู้สึกปวดจนไม่สามารถนอนหลับได้
อาการของโรคข้อสะโพกเสื่อมเป็นอย่างไร?
- มีอาการปวดบริเวณสะโพก หรือบริเวณรอบ ๆ สะโพก เช่น บริเวณขาหนีบ บริเวณต้นขา หรือบริเวณก้นกบ
- มีอาการข้อติด ข้อยึด ข้อฝืด ขยับไม่ค่อยได้ หลังตื่นนอน
- รู้สึกมีอะไรไปขัดอยู่ในข้อ มีอาการล็อค ต้องสะบัดตัวถึงจะหลุด
- ขยับข้อ งอ เหยียด อ้าหุบได้น้อยลง
- เมื่อขยับข้อสะโพกจะมีเสียงดังครืดคราด
- รู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีส่วนในการขยับข้อสะโพก เช่น การเดิน การขึ้นลงบันได การเล่นกีฬา การนั่งยอง
สาเหตุของ โรคข้อสะโพกเสื่อม มีอะไรบ้าง?
โรคข้อสะโพกเสื่อมสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลัก ได้แก่
1. ข้อสะโพกเสื่อมที่ไม่มีสาเหตุนำชัดเจน
- อายุที่มากขึ้น โดยมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
- พันธุกรรม โดยมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคข้อสะโพกเสื่อม
- ภาวะอ้วน
2. ข้อสะโพกเสื่อมที่มีสาเหตุนำชัดเจน
- เคยประสบอุบัติเหตุกับข้อสะโพกมาก่อน เช่น ข้อสะโพกหลุด ข้อสะโพกเคยแตกหัก เป็นต้น
- มีข้อสะโพกพัฒนาผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
- ผู้ที่เป็นโรคหัวกระดูกหัวสะโพกตาย
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคข้ออักเสบอื่น ๆ
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การใช้ยาสเตียรอยด์ปริมาณมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
แพทย์วินิจฉัย โรคข้อสะโพกเสื่อม อย่างไร?
- การซักประวัติโดยละเอียด
- แพทย์จะกดบริเวณข้อสะโพกเพื่อหาจุดกดเจ็บ
- แพทย์จะตรวจดูพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อสะโพกว่าผิดไปจากปกติหรือไม่
- แพทย์จะดูลักษณะการเดิน เช่น มีอาการเดินเอียง มีท่าทางระมัดระวังมากกว่าปกติ เป็นต้น
- ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการตรวจเอกซเรย์ หรือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT SCAN) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
ภาพตัวอย่าง อาการปวดหลังจาก โรคข้อสะโพกเสื่อม
สามารถรักษาข้อสะโพกเสื่อมได้อย่างไร?
โรคข้อสะโพกเสื่อมสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ โดยวิธีการหลัก 2 ประเภท ได้แก่
1. การรักษาสะโพกโดยไม่ผ่าตัด
- การปรับกิจวัตรประจำวัน โดยหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีแรงกระทำต่อข้อสะโพก เช่น การขึ้นลงบันได การนั่งพื้น การเดิน การวิ่ง การกระโดด การเล่นกีฬาประเภทบาสเกตบอล แบตมินตัน และวอลเลย์บอล แล้วหันมาออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอและไม่มีแรงกระแทก เช่น การปั่นจักรยาน การเดิน การเดินในน้ำ เป็นต้น
- การลดน้ำหนัก เพื่อลดแรงกดบนข้อ
- การใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์เสริมในการช่วยเดิน
- การทำกายภาพบำบัด เช่น การใช้ความร้อนและความเย็น เพื่อลดอาการปวด ลดการอักเสบของข้อสะโพก
- การรับประทานยา เช่น ยาลดอาการปวด ยาลดอาการปวดและอักเสบ
- การฉีดยาสเตียรอยด์ ซึ่งจะใช้วิธีนี้ในผู้ป่วยรายที่มีอาการเจ็บปวดมากและการอักเสบไม่ดีขึ้น
2. การรักษาโดยการผ่าตัด
- การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง ซึ่งจะใช้วิธีนี้เมื่อกระดูกอ่อนในข้อสะโพกฉีกขาดหรือมีเศษกระดูกหรือกระดูกอ่อนหลุดออกมาอยู่ในข้อ ทำให้เกิดการเสียดสีกับข้อ ขัดขวางการเคลื่อนไหว จนทำให้ขยับได้ลำบาก
- การผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก เพื่อหมุนพื้นผิวของข้อที่ยังปกติเข้าสัมผัสกัน จะใช้เมื่อมีบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่เสียหายแต่ที่อื่นปกติ
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ซึ่งจะใช้วิธีนี้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะความเสื่อมมาก ข้อสะโพกผิดรูป และมีอาการเจ็บปวดรุนแรง จนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต
ควรทำอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคสะโพกเสื่อม?
แม้เราจะไม่สามารถหยุดยั้งความเสื่อมตามธรรมชาติได้ แต่เราก็สามารถดูแลสุขภาพของเราหรือคนใกล้ตัว เพื่อชะลอความเสื่อมได้ โดยมีวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากในงานวิจัย พบว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียง 400 ซีซี หรือเพียงหนึ่งกระป๋องครึ่งต่อสัปดาห์ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นหัวกระดูกหัวสะโพกตาย ซึ่งเป็นสาเหตุนำอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคข้อสะโพกเสื่อม มากกว่า 10 เท่า
- หันมาออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอและไม่มีแรงกระแทก เช่น การปั่นจักรยาน การเดิน การเดินในน้ำ เป็นต้น
- รักษาระดับน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป เพราะนอกจากเสี่ยงต่อ สะโพกเสื่อมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้ด้วย