โรคนิ่วในถุงน้ำดี
นิ่วในถุงน้ำดี เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบบ่อยในประชาชนทั่วไป โดยปกติมักไม่แสดงอาการ หากมีอาการผู้ป่วยมักมีอาการคล้ายอาการของโรคกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยส่วนมากจะซื้อยามารับประทานเองทำให้นิ่วในถุงน้ำดีอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้
– วันนี้เราจะมารู้จักกับนิ่วในถุงน้ำดี ถึงอาการ ปัจจัยเสี่ยงและการดูแลรักษา –
สาเหตุการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
เกิดจากตะกอนที่เกิดสะสมภายในถุงน้ำดี อาจจะมาจากคอเรสเตอรอลซึ่งพบเป็นสาเหตุหลัก หรืออาจจะเกิดจากเม็ดสีบิลิรูบินก็ได้ โดยตะกอนที่เกิดขึ้นอาจมีขนาดเล็กหรือจะใหญ่ก็ได้ ซึ่งตะกอนดังกล่าวจะมีเม็ดเดียว หรือหลายร้อยได้
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
- ความอ้วน ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคนี้ได้มากที่สุด เพราะเป็นสาเหตุของการทำให้คอเรสเตอรอลในน้ำดีเพิ่มมากขึ้น
- การทานอาหารไขมันสูงนำไปสู่ภาวะคลอเรสเตอรอลในน้ำดีสูง
- อายุ 40 ปี ขึ้นไป ระบบเผาผลาญในร่างกายที่แย่ลง
- ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนทดแทน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีเพิ่มมากขึ้น
- พันธุกรรม หากพบว่าในครอบครัวมีคนเคยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี เราก็จะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น
อาการ
- มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
- คลื่นไส้ อาเจียนหลังรับประทานอาหาร
- รู้สึกแสบร้อนบริเวณช่องอกคล้ายอาการกรดไหลย้อน มีลมในกระเพาะอาหาร
- หลังรับประทานอาหารมันๆ มักมีอาการอืดแน่นท้องบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่
- กรณีที่ถุงน้ำดีมีการอักเสบ อาจจะมีไข้ ปวดท้องกดเจ็บใต้ชายโครงด้านขวาบริเวณตำแหน่งของถุงน้ำดี และอาจมีภาวะตัวเหลือง ตาเหลือง ร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีที่ถือว่ายังมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง
การรักษา
ในผู้ป่วยที่มีอาการของนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำการผ่าตัดรักษาเพื่อนำถุงน้ำดีและนิ่วออก โดยการผ่าตัดรักษาจะสามารถทำได้ 2 วิธีคือ การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง และการผ่าตัดผ่านกล้อง
-
การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง
- การผ่าตัดผ่านกล้อง
หากคุณต้องการนัดหมายแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา
สามารถติดต่อสอบถามเราได้ Call Center 02-080-5999 หรือ LINE : @psuv
เรายินดีให้บริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง