รักษามะเร็งปากมดลูก ด้วยวัคซีน HPV
การได้รับวัคซีน HPV และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร่วมกันนั้น เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ดีที่สุด นอกจากวัคซีน HPV จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบริเวณปากมดลูกแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงโรคอื่นๆ ที่เกิดจากเชื้อ HPV เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งในช่องปากและคอได้อีกด้วย
วัคซีน HPV คืออะไร
HPV (Human papillomavirus) เป็นกลุ่มของไวรัสที่มีหลายสายพันธุ์ โดยแต่ละสายพันธุ์มักจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ปัจจุบันมีกว่า 200 สายพันธุ์
สายพันธุ์ของ HPV ส่วนใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ HPV ที่เป็นต้นเหตุของการเป็นมะเร็งและ HPV ที่เป็นต้นเหตุของหูดที่อวัยวะเพศ (genital warts)
HPV ที่เป็นต้นเหตุของการเป็นมะเร็ง
- HPV 16: เป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด
- HPV 18: เป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูกรองลงมา
- HPV 31, 33, 45, 52, 58: เป็นสายพันธุ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งช่องคลอดในผู้หญิง
HPV ที่เป็นต้นเหตุของหูดที่อวัยวะเพศ (Genital Warts)
- HPV 6 และ HPV 11 เป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ
วัคซีน HPV มีกี่ชนิด
วัคซีน HPV ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีด้วยกัน 3 ชนิด
- Cervarix (2 สายพันธุ์)
Cervarix เป็นวัคซีน HPV ที่เน้นป้องกันสายพันธุ์ 6 และ18
- Gardasil (4 สายพันธุ์)
เป็นวัคซีน HPV ที่เน้นป้องกันสายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกและหูดหงอนไก่
- Gardasil 9 (9 สายพันธุ์)
Gardasil 9 เป็นวัคซีน HPV ที่ป้องกันได้หลากหลายสายพันธุ์ ดังนี้ 6, 11, 16, 19, 31, 33, 45, 52 และ 58
วัคซีน HPV ฉีดตอนไหน? อายุเท่าไร?
การฉีดวัคซีน HPV ควรให้เริ่มตั้งแต่อายุ 9-12 ปี ตามที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) แนะนำ แต่หากคุณยังไม่เคยรับวัคซีน HPV หรือผ่านการมีเพศสัมพันธุ์มาแล้ว ก็ยังสามารถฉีดวัคซีน Gardasil 9 ได้ในช่วงอายุ 27-45 ปี หากอายุเกิน 45 ปี สามารถฉีดได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพของการป้องกันเชื้อไวรัสนั้นอาจลดลง
คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านแนวทางปฏิบัติด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน (ACIP ) ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC ) แนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน HPV ไว้ดังนี้
- การฉีดวัคซีน HPV ควรให้เริ่มตั้งแต่อายุ 9-12 ปี
- ผู้ใหญ่อายุ 27 - 45 ปีแม้ว่าวัคซีน HPV จะได้รับการอนุมัติ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ให้ฉีดจนถึงอายุ 45 ปี แต่ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV สำหรับผู้ใหญ่ทุกคน ผู้ป่วยควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ เพราะการฉีดวัคซีน HPV ในช่วงอายุนี้ วัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก แต่พบว่าวัคซีนนี้ไม่มีอันตรายต่อเด็กที่คลอดจากแม่ที่ได้รับวัคซีนในขณะตั้งครรภ์ ส่วนในระยะให้นมบุตรสามารถที่จะฉีดวัคซีนได้ หากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในระหว่างที่รอฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 หรือ 3 นั้น ควรหยุดฉีดก่อน และกลับมาฉีดเข็มต่อไปหลังจากที่คลอดโดยไม่ต้องเริ่มเข็มแรกใหม่
วัคซีน HPV ฉีดกี่เข็ม แต่ละเข็มห่างกันกี่เดือน?
การฉีดวัคซีน HPV มักจะแบ่งเป็น 2 หรือ 3 เข็ม โดยครอบคลุมการป้องกัน HPV สายพันธุ์สำคัญดังนี้
แผนการฉีดวัคซีน HPV 2 เข็ม (อายุ 9-14 ปี)
เข็มที่ 1: ฉีดเข็มแรก
เข็มที่ 2: ฉีดในช่วง 6-12 เดือนหลังจากเข็มที่ 1
แผนการฉีดวัคซีน HPV 3 เข็ม: (14 ปีขึ้นไป)
เข็มที่ 1: ฉีดเข็มแรก
เข็มที่ 2: ฉีดในช่วง 1-2 เดือนหลังจากเข็มที่ 1
เข็มที่ 3: ฉีดในช่วง 6 เดือนหลังจากเข็มที่ 1
ฉีดวัคซีน HPV แล้วช่วยอะไร
วัคซีน HPV มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่ปากมดลูก เมื่อได้รับวัคซีนก่อนที่จะเคยมีเพศสัมพันธ์ ยังพบว่าสามารถลดการติดเชื้อมะเร็งอื่นๆ ได้ เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งในช่องปาก
ในปัจจุบัน การฉีดวัคซีน HPV สามารถป้องกันไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้มากกว่า 10 ปี แม้ว่าจะยังไม่สามารถระบุประสิทธิภาพของวัคซีน HPV ได้อย่างชัดเจน แต่โดยทั่วไปแล้ว การฉีดวัคซีน HPV ถือเป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ HPV และมะเร็งที่เกิดจาก HPV ในระยะยาวมากที่สุด
วัคซีน HPV ทำงานอย่างไร
วัคซีน HPV ทำงานโดยเรียนรู้ร่างกายในการต่อสู้กับไวรัส HPV ที่อาจเข้ามาทำให้เกิดโรคมะเร็ง วัคซีนจะช่วยสร้างสิ่งที่เรียกว่า แอนติบอดีในร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจับไวรัส HPV เมื่อเชื้อไวรัสซึมผ่านเข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดีจะป้องกันไม่ให้มันทำให้เซลล์ในร่างกายติดเชื้อ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคในอนาคตนั่นเอง
ทำไมต้องฉีดวัคซีน HPV
การฉีดวัคซีน HPV เป็นสิ่งสำคัญเพราะมันช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งอื่นๆ ที่เกิดจาก HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ป้องกันโรคมะเร็ง HPV เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งชนิดอื่น หากได้รับเชื้อ HPV ในระยะยาว อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดเซลล์มะเร็งในอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้
- ป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง หูดที่อวัยวะเพศ และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ
- ป้องกันแพร่เชื้อ การฉีดวัคซีน HPV ช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อ HPV จากบุคคลที่ติดเชื้อไปยังบุคคลอื่น ทำให้มีโอกาสในการควบคุมการระบาดของโรคมะเร็งและโรคที่เกิดจาก HPV ได้มากขึ้น
ติดเชื้อ HPV แล้วควรฉีดวัคซีนป้องกันหรือไม่?
หากบุคคลที่ติดเชื้อ HPV แล้ว การฉีดวัคซีน HPV ยังคงมีประโยชน์ในบางกรณี เนื่องจากวัคซีนสามารถป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์อื่นที่ยังไม่เคยติดมาก่อนได้ และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ที่เกิดจาก HPV ที่ไม่ใช่สายพันธุ์ที่เคยติดเชื้อมาก่อนได้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีน HPV หลังจากเคยติดเชื้อ HPV อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากวัคซีนมุ่งเน้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันก่อนที่จะติดเชื้อ ดังนั้น การตัดสินใจในการฉีดวัคซีน HPV หลังจากเคยติดเชื้อไปแล้ว ควรพิจารณาจากคำแนะนำของแพทย์ โดยพิจารณาจากความเสี่ยงที่เป็นไปได้และสถานะสุขภาพของผู้ป่วย
ผู้หญิงที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV แล้วยังต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหรือไม่?
ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 3 ปี เนื่องจากวัคซีน HPV ไม่ได้ป้องกัน HPV ทุกประเภทที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ การได้รับวัคซีน HPV และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร่วมกันนั้น เป็นการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ดีที่สุด และสามารถลดความเสี่ยงโรคร้ายอื่นๆ ได้อีกด้วย
ผู้ชายสามารถฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ได้หรือไม่?
ตอบ: สามารถฉีดได้เช่นกัน เนื่องจาก HPV สามารถก่อให้เกิดมะเร็งองคชาติ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งกล่องเสียงได้ และอีกทั้งเพศชายมักจะเป็นผู้นำเชื้อ HPV มาติดให้แก่ผู้หญิง เมื่อมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
แผนกตรวจสุขภาพ
สถานที่
อาคาร A ชั้น 2
เวลาทำการ
จันทร์ - อาทิตย์ 07.00 - 16.00 น.
เบอร์ติดต่อ
02 080 5999 ต่อ 4501
แผนกสุขภาพสตรี
สถานที่
อาคาร A ชั้น 2
เวลาทำการ
จันทร์ - อาทิตย์ 08.00 -20.00
เบอร์ติดต่อ
02 080 5999 ต่อ 4204