โรคภูมิแพ้ รู้สาเหตุ รักษาได้
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “แพ้ฝุ่น” หรือ “แพ้อากาศ” และหลายคนคิดว่าตัวเองเป็นโรค “ภูมิแพ้” แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของโรคนี้ และตระหนักถึงความสำคัญของการหาสาเหตุ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง
โรคภูมิแพ้สามารถพบได้ทุกเพศ และเกือบจะทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงาน ข้อมูลปัจจุบันพบว่าประชากรไทยจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ และอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยวิถีชีวิตแบบคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การเผชิญกับมลพิษทั้งในและนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นควันบุหรี่ ควันธูป ควันจากท่อไอเสียรถยนต์หรือโรงงานอุตสาหกรรม ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ PM 2.5 ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมและกระตุ้นการเกิดโรคภูมิแพ้ อีกทั้งยังส่งผลให้อาการของโรคภูมิแพ้ที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนได้ไม่มากก็น้อย
โรคภูมิแพ้คืออะไร
โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายสร้างปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยได้แก่สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศ โดยปฏิกิริยาดังกล่าวไม่ได้เกิดในทุกคน แต่มีปัจจัยเรื่องของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยพบว่า
- ถ้าไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 12
- บิดาหรือมารดา เป็นโรคภูมิแพ้ จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 – 50
- บิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ จะทำให้โอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นไปถึงร้อยละ 60 – 80
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศ ได้แก่ ไรฝุ่น ละอองเกสรหญ้า เช่น หญ้าแพรก หญ้าพง ผักโขม ขนสุนัขหรือขนแมว เชื้อรา และแมลงสาบ เป็นต้น
ประเภท และอาการของโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้สามารถจำแนกตามระบบเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ (Allergic rhinitis) โดยอาการที่พบได้แก่ น้ำมูกใส คัดจมูก คันจมูก และจามต่อเนื่องติดต่อกันหลายครั้ง
- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนล่าง หรือโรคหืด (Asthma) อาการที่พบได้แก่ ไอ หายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี้ด แน่นหน้าอก ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการมากในตอนเช้ามืดหรือก่อนนอน หรือช่วงที่อากาศเย็นหรือชื้น
- โรคภูมิแพ้ตาอักเสบ (Allergic conjunctivitis) อาการที่พบได้แก่ ตาแดง เคืองหรือคันตา น้ำตาไหล
- โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) จะมีภาวะผิวแห้งคัน ผื่นผิวหนังอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ
ทั้งนี้ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแสดงที่แตกต่างกัน โดยบางรายอาจมีอาการแสดงน้อยมากจนคุ้นชินและไม่ได้คิดว่าตนจะเป็นโรคภูมิแพ้ หรือในบางรายมีอาการแสดงแค่ครั้งคราว ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญ และไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม จนนำไปสู่อาการที่รุนแรงตามมา ซึ่งอาจส่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาวได้
การตรวจวินิจฉัย และหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้
เมื่อผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้ จะมีแนวทางการตรวจยืนยันการวินิจฉัยด้วย 2 วิธีหลัก ได้แก่
- การทดสอบทางผิวหนัง (Skin test) การทดสอบภูมิแพ้ด้วยวิธีสะกิดบริเวณผิวหนังที่แขน (Skin prick test) โดยการใช้น้ำยาที่สกัดจากสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศ
- การเจาะเลือด (Blood test) การเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัย (Specific IgE)
การรักษาโรคภูมิแพ้
เมื่อทราบสาเหตุของการเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว ผู้ป่วยควรรับการรักษาและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (allergen avoidance) เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ตรงจุด และสามารถป้องกันการกำเริบของโรคได้
- การรักษาด้วยยา (medications) ยาที่ใช้ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของโรคภูมิแพ้
- โรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ (Allergic rhinitis) : ยาพ่นจมูก ยาแก้แพ้ และการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
- โรคหืด (Asthma) : ยาพ่นกลุ่มสเตียรอยด์ร่วมกับยาพ่นขยายหลอดลม
- โรคภูมิแพ้ตาอักเสบ (Allergic conjunctivitis) : ยาหยอดตา และยาแก้แพ้
- โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) : การดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธี เช่นการทาครีมชุ่มชื้นที่มีโอกาสเกิดการแพ้น้อย (hypoallergenic) อย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการใช้ยาทาลดการอักเสบที่เหมาะสม
- การรักษาภาวะแทรกซ้อน (complications) เช่น โรคไซนัสอักเสบ ภาวะหลอดลมตีบถาวร ภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนทางผิวหนัง เป็นต้น
- การรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy) โดยข้อบ่งชี้คือผู้ป่วยมีภาวะภูมิแพ้รุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน ซึ่งมี 2 วิธีหลัก ได้แก่
- การฉีดใต้ผิวหนัง (Subcutaneous immunotherapy)
- การอมยาใต้ลิ้น (Sublingual immunotherapy)
นอกจากนี้การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงภาวะเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้โรคภูมิแพ้ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน
….จะเห็นได้ว่าโรคภูมิแพ้เป็นโรคใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ตรงจุด และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
"หากมีคำถาม หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา กรุณาปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญ เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง"
คลิก เพื่อขอคำปรึกษา
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
แผนกอายุรกรรม
สถานที่
อาคาร A ชั้น G
เวลาทำการ
จันทร์ - อาทิตย์ 08.00 - 21.00
เบอร์ติดต่อ
02 080 5999 ต่อ 4011