วีธีการดูแลคุณแม่มือใหม่ อายุครรภ์ 1 - 9 เดือน
เมื่อแต่งงานมีครอบครัว หลายครอบครัวก็เริ่มวางแผนที่จะมีลูก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์
เมื่อคุณผู้หญิงเริ่มรู้ตัวว่าตั้งครรภ์แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์และขอคำแนะนำในการปฏิบัติตัวจากแพทย์ผู้ชำนาญการในการดูแลครรภ์ เพื่อให้ตลอดระยะเวลา 9 เดือน เป็น 9 เดือนที่ทารกในครรภ์จะคลอดออกมามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง คุณแม่จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสมาชิกใหม่ที่จะเกิดขึ้น
#————————————————–#
ข้อแนะนำการฝากครรภ์สำหรับคุณแม่มือใหม่และการดูแลครรภ์ตลอด 9 เดือน
พญ.ลูกหวาย คู่ธีรวงศ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ แนะนำว่า การฝากครรภ์สิ่งควรเตรียมตัวก่อนการไปพบแพทย์ คือ ประวัติโรคประจำตัวของคุณแม่(ถ้ามี) รวมไปถึงยาที่ใช้ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการล่าสุด การตรวจสอบประวัติครอบครัว ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
หรือโรคบางอย่างที่อาจทำอันตรายเมื่อตั้งครรภ์ และสภาวะบางอย่างที่มีผลต่อการคลอด ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ผู้รับฝากครรภ์เป็นอย่างมากถ้าทราบล่วงหน้าจะทำให้แพทย์สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี
แม่ท้องต้องรู้-ก่อนการตั้งครรภ์ ควรมีการตรวจสุขภาพของคุณพ่อและคุณแม่เพื่อประเมินสุขภาพทั่วไป ความพร้อมในการตั้งครรภ์ ตรวจความเสี่ยงของโรคโลหิตจางแฝงทางพันธุกรรมที่พบบ่อยตรวจภูมิคุ้มกันของโรคบางชนิดที่จำเป็นต้องทราบและอาจต้องฉัดวัคซีนบางตัว รวมถึงรับยาบำรุงระบบประสาทของทารกที่จำเป็นต้องได้รับประจำเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนการตั้งครรภ์
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 1 ของการตั้งครรภ์คุณแม่บางท่านยังไม่ทราบเลยว่าตนเองตั้งครรภ์ เนื่องจากประจำเดือนเพิ่งเริ่มขาด
โดยเฉพาะในบางท่านที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจมีอาการผิดปกติ เช่น คัดตึงเต้านม อาการอยากอาหาร รู้สึกเพลียอยากพักผ่อนตลอดเวลา มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เมื่อไปตรวจครรภ์คุณหมออาจขอตรวจปัสสาวะดูการตั้งครรภ์ซ้ำเพื่อยืนยันในบางท่านที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ และอัลตราซาวด์ดูการตั้งครรภ์ว่าอยู่ในโพรงมดลูก หรือตั้งครรภ์นอกมดลูกซึ่งจะเป็นอันตรายต่อคุณแม่ และวัดความยาวของทารก(เร็วที่สุดเท่าที่จะวัดได้)เพื่อคำนวณกำหนดคลอดร่วมกับวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายให้แม่นยำที่สุด
คุณหมอจะเริ่มสั่งยาบำรุงให้รับประทานตั้งแต่ครั้งแรกที่ทราบว่าเพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตทางระบบประสาทของบุตรเป็นไปตามปกติ คุณแม่ไม่ควรซื้อยารับประทานเองเมื่อไม่สบาย เนื่องจากยาบางตัวจะส่งผลต่อการพัฒนาอวัยวะของลูกน้อยอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในเดือนแรกคือ การมีเลือดออกบริเวณช่องคลอด หรือปวดท้องน้อย คุณแม่ควรสังเกตตัวเองเพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุของภาวะแท้งบุตรหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 2 คุณแม่อาจพบว่ามีเลือดออกตามไรฟัน
เพราะเนื้อเยื่อที่เหงือกจะอ่อนนุ่มมากขึ้นนั่นเอง แต่การมีเลือดออกอาจตามมาด้วยการอักเสบ ดังนั้นคุณแม่อาจจำเป็นต้องปรึกษาทันตแพทย์ และทำความสะอาดช่องปากทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร อาการแพ้ท้องอาจรุนแรงขึ้นในบางท่าน
พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่รสจัดและมันเพราะจะกระตุ้นให้การแพ้มากขึ้น และอาจแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆเพื่อลดอาการแพ้ ในรายที่ไม่สามารถทานอาหารได้ ควรมาพบแพทย์ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเดือนนี้คือ อาการแพ้ท้อง ปวดปัสสาวะบ่อย ท้องผูก รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย แท้งบุตร และท้องนอกมดลูก
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 3 ทารกในครรภ์จะเริ่มเคลื่อนไหวได้
แต่คุณแม่จะยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวต่างๆ ของทารก คุณหมอจะอัลตราซาวด์อย่างละเอียดสำหรับไตรมาสแรกเพื่อตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์ ประเมินอาการที่ตรวจพบได้ของภาวะโครโมโซมผิดปกติ
ระยะนี้คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีปริมาตรของเลือดเพิ่มมากขึ้น แต่เม็ดเลือดแดงอาจเพิ่มขึ้นไม่เพียงพอซึ่งอาจทำให้คุณมีภาวะโลหิตจางได้ การตรวจเลือดเพื่อหาภาวะโลหิตจางจึงเป็นสิ่งจำเป็น คุณหมอจะให้ยาบำรุงครรภ์ไปทาน ซึ่งมีธาตุเหล็ก และสารไอโอดีน เป็นส่วนผสมหลักของยา เพื่อป้องกันภาวะซีดในคุณแม่ และภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนในลูกน้อย
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 4 อาการแพ้ท้องจะเริ่มทุเลาลง คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างชัดเจน
เสื้อผ้าอาจเริ่มคับและอึดอัด อาจจะต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดคลุมท้องกันแล้วในเดือนนี้
สำหรับพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ในช่วงเดือนที่ 4 นี้ ทารกในครรภ์จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แขนและข้อต่อต่างๆ พัฒนาไปจนเกือบสมบูรณ์ การตรวจอัลตราซาวด์ในเดือนนี้จะสามารถมองเห็นโครงหน้าได้ชัดเจนขึ้นรวมถึงการทราบเพศของลูกน้อยด้วย
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 5 คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าท้องด้านล่างทั้งสองข้าง
เนื่องจากการขยายตัวที่รวดเร็วของมดลูก มีอาการปวดหลัง เล็บมือเล็บเท้าเปราะบาง ผมร่วง ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่มากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน
แต่ในเดือนนี้คุณแม่จะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกอย่างชัดเจนแล้ว อาการแพ้ท้องต่างๆ ก็จะหมดไป ที่สำคัญทารกจะสามารถได้ยินเสียงและจดจำเสียงของคุณแม่ได้ และตอบสนองต่อเสียงภายนอกได้ด้วย เช่น ทารกจะเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินเสียงดนตรี เป็นต้น
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 6 ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวังเป็นพิเศษคือ ภาวะครรภ์เป็นพิษ
ซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าปกติในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เป็นท้องแรก การเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การอักเสบติดเชื้อราจะพบได้ง่ายมากเนื่องจากสภาวะเป็นกรดของช่องคลอด และการอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะพบได้บ่อยขึ้น ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้
แนะนำให้คุณแม่งดกลั้นปัสสาวะ ดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ การรับประทานอาหารให้สมดุลทั้งห้าหมู่ โดยเน้นโปรตีนและผักผลไม้ที่ไม่หวาน เลือกอาหารอุดมไปด้วยธาตุเหล็กมีความจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงของคุณแม่และทารกในครรภ์ด้วย ลูกน้อยในครรภ์จะมีการพัฒนาการรับรู้โดยการฟัง คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับทารก อ่านนิทาน เปิดเพลงกระตุ้นพัฒนาการ
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 7 เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์
คุณแม่จะรู้สึกได้ดีถึงการเคลื่อนไหวของทารก ขนาดของมดลูกโตมากขึ้นอาจดันให้กระบังลมสูงขึ้นทำให้คุณแม่หายใจเร็วขึ้น และตื้นกว่าปกติ
มดลูกเองก็จะบีบตัวเบาๆ เป็นครั้งคราวไม่สม่ำเสมอ เป็นการเริ่มต้นการหดรัดตัวของมดลูก แต่จะไม่มีอาการเจ็บปวดและจะบีบรัดตัวครั้งละไม่นานเกิน 30 วินาที
ในระยะนี้คุณแม่ควรจะได้เข้าอบรมเรียนรู้ขั้นตอนการเตรียมคลอด ทางเลือกในการคลอด เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อเจ็บครรภ์คลอดและเข้าสู่กระบวนการคลอด ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้คือการคลอดก่อนกำหนด
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 8 ทารกมีการพัฒนารูปร่างรวมถึงสมองอย่างรวดเร็วในเดือนนี้
ลองคุยกับลูกหรือเปิดเพลงเบาๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย ทารกจะหมุนตัวกลับเอาศรีษะลงไปสู่เชิงกรานของแม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลอด
แต่บางทีไม่เป็นเช่นนั้น โดยแพทย์จะสามารถตรวจได้จากการอัลตราซาวด์และถ้าหากในเดือนที่ 9 ทารกยังคงไม่หมุนศีรษะกลับลงมา การผ่าคลอดก็จะถูกกำหนดขึ้น นอกจากนี้คุณยังเริ่มประเมินความสัมพันธ์ของขนาดส่วนนำของทารกและท่าของทารกกับขนาดและอุ้งเชิงกรานของคุณแม่เพื่อประเมินช่องทางคลอดที่เหมาะสม รวมถึงปริมาณน้ำคร่ำและการการขยับแขนขา ลำตัวรวมถึงเต้นของหัวใจทารก
คุณแม่จะรู้สึกถึงความอึดอัดท้องที่โตขึ้นทำให้พื้นที่ปอดขยายลดลงจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อาจมีอาการไม่สบายตัวหรือหน้ามือขณะนอนหงายได้ เนื่องจากเส้นเลือดดำใหญ่ในช่องท้องถูกกด ถ้ามีอาการ แนะนำให้นอนตะแคงด้านซ้าย ส่วนำของทารกจะเริ่มเคลื่อนลงต่ำ อาจมีปัสสาวะบ่อย มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และเป็นตระคริวบ่อยขึ้น เท้าบวม ปวดปริเวณหัวเหน่าและช่องคลอด
คุณแม่ควรจะต้องเรียนรู้กระบวนการคลอดและสังเกตถึงความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น น้ำเดิน ลูกดิ้นน้อยลง คลอดก่อนกำหนด ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น ต้องรีบมาโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที ควรจะเตรียมเครื่องใช้สำหรับการเข้าอยู่ในโรงพยาบาลไว้ให้พร้อม
#————————————————–#
แม่ท้องต้องรู้-เดือนที่ 9 คุณแม่หลายคนเริ่มนับถอยหลังกันแล้ว วันเวลาแห่งการรอคอยกำลังจะมาถึง
เดือนสุดท้ายนี้คุณแม่จะอุ้ยอ้ายมากขึ้นแต่อาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ จะลดลงเนื่องจากทารกเคลื่อนตัวมาสู่ช่องเชิงกรานแล้ว อาการแสดงว่าจะคลอด จะมีการบีบรัดตัวของมดลูกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีอาการปวดท้องเป็นพักๆ
#————————————————–#
คุณแม่บางคนมีมูกเลือดออกมาทางช่องคลอด
ภาวะน้ำเดิน เมื่อคุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์ถี่ขึ้น มีน้ำเดิน ลูกดิ้นน้อยลง หรืออาการของครรภ์เป็นพิษ ซึ่งอาการสำคัญดังกล่าวที่จะบอกว่าคุณแม่ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน
อาการและความรู้สึกต่างๆ ดังที่กล่าวมานั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนจะรู้สึกได้ บางคนก็มีอาการมากบางคนก็มีอาการน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการปฏิบัติตัวของคุณแม่ตั้งครรภ์แต่ละคน
ทั้งนี้การดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาได้ที่ Call Center 02-080-5999 หรือ LINE : @psuv
หากคุณต้องการนัดหมายแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา
สามารถติดต่อสอบถามเราได้ที่นี่
เรายินดีให้บริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง
เบอร์โทรศัพท์ (+66)02 0805999
ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง
แผนกสุขภาพสตรี
สถานที่
อาคาร A ชั้น 2
เวลาทำการ
จันทร์ - อาทิตย์ 08.00 -20.00
เบอร์ติดต่อ
02 080 5999 ต่อ 4204