“ไวรัสตับอักเสบบี” โรคร้ายที่คุณป้องกันได้
ไวรัสตับอักเสบบี สามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรังได้ ไวรัสตับอักเสบบีเป็นสาเหตุของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับที่สำคัญของโลก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเรามีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะเกิดตามมา
รู้จักกับโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis)
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส คือ ภาวะการอักเสบของตับ ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ สายพันธ์เอ บี หรือซี ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน หรือกรณีไวรัสตับอักเสบสายพันธ์บี และซี สามารถทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบเอ
เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยมักทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน มีอาการได้แก่ อ่อนเพลีย ไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง เบื่ออาหาร เป็นต้น โดยถึงแม้ว่าส่วนใหญ่อาการจะสามารถดีขึ้นได้เอง แต่ก็มีบางรายที่มีอาการรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ปัจจุบันมีวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอที่ป้องกันการติดเชื้อได้ โดยผู้ที่ควรได้รับวัคซีนได้แก่
- ผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือโรคตับแข็ง
- บุคคลที่มีสมาชิกในครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิดติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
- พ่อครัว แม่ครัว ผู้ประกอบอาชีพปรุงอาหาร
- ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ (กลุ่มเพศชาย)
โดยวัคซีนไวรัสตับอักเสบ จะฉีด 2 ครั้ง โดยฉีดห่างกัน 6-12 เดือน
ไวรัสตับอักเสบบี
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อผ่านการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี, ทางเพศสัมพันธ์ หรือการติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ โดยไวรัสตับอักเสบบี นอกจากจะทำให้เกิดทั้งภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน แล้วยังสามารถเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้อีกด้วย ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ ซึ่งจะมีอาการดังนี้
- อาการไข้
- ตัวเหลืองตาเหลือง
- ปวดท้องใต้ชายโครงขวา
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- ท้องเสียและอาเจียน
- อ่อนเพลีย
- ผื่น
- ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับวายได้
อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ซึ่งมักใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนน้อย (5-10%) ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
- ทารกแรกเกิด เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
- ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล
- ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
- ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ๆ
- ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
- ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
- ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน
วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
-
ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรตรวจเช็คตับปีละ 1 ครั้ง และตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นระยะ
-
ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบ โดยฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง เข็มที่ 2 ฉีดหลังจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 ฉีดหลังจากเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน
-
ไม่ควรรับประทานยาพร่ำเพรื่อติดต่อกันเป็นเวลานาน หากไม่ได้อยู่ในความดูแลของแพทย์
-
งดดื่มแอลกอฮอล์
-
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค
-
มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
จะเห็นได้ว่าไวรัสตับอักเสบเป็นภัยร้ายที่นอกจากจะส่งผลต่อตัวเราแล้วยังอาจถ่ายทอดสู่บุคคลรอบข้าง สมาชิกในครอบครัวได้อีกด้วย จึงอยากเชิญชวนให้พิจารณาการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอและบี ด้วยนะครับ
บทความโดย : นพ.กุลธนิต เจนพิทักษ์พงศ์
อายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
ตารางออกตรวจ : https://www.princsuvarnabhumi.com/appointment?medical_id=10&doctor_id=123
ตารางแพทย์อาจมีเปลี่ยนแปลง