มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอันตราย อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด !!
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรา และไม่ควรมองข้ามเช่นกัน ควรใส่ใจ และให้ความสำคัญ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถเกิดได้ในทุกอวัยวะ เพราะต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น คอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอก หรือช่องท้อง อีกทั้งเซลล์น้ำเหลืองก็ยังอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ หรือกระเพาะอาหารจึงสามารถเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้หมดทุกที่ของร่างกาย
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คืออะไร ?
โรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลืองหรือโครงสร้างต่อม ซึ่งระบบน้ำเหลืองก็เป็นระบบหนึ่งของภูมิคุ้มกัน ประกอบไปด้วย อวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ซึ่งภายในอวัยวะเหล่านี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง มีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดขาวไปทั่วร่างกาย และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้เกิดความผิดปกติ จึงทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้นมา
ประเภทของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 2 ประเภท
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน (Hodgkin’s Lymphoma: HL) เกิดจากความผิดปกติลิมโฟไซต์ชนิดB หรือชนิดT ซึ่งเป็นชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำการแบ่งตัวโดยไม่สามารถควบคุมได้ และสะสมกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลืองในที่สุด
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin’s Lymphoma: NHL) เกิดความผิดปกติและทำการแบ่งตัวโดยไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายจะถูกสะสมจนกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในระบบน้ำเหลือง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ปัจจัยเสี่ยง คือ ภาวะที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่มีปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งแล้วจะต้องเกิดโรคนั้นเสมอไป ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถบอกสาเหตุของมะเร้งต่อมน้ำเหลืองทุกรายได้อย่างชัดเจนแต่พบมีความสัมพันธ์กับหลายภาวะ ได้แก่
- อายุ : อุบัติการณ์ของมะเร้งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นโดยอุบัติการณืสูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 60-70 ปี
- เพศ : เพศชายพบเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากกว่าเพศหญิง
- การติดเชื้อ พบความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดกับการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MALT lymphoma การติดเชื้อไวรัส EBV กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Burkitt
- ภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วย HIV พบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น
- โรคภูมิแพ้ตนเอง (Autoimmune disease) ผู้ป่วย SLE พบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเพิ่มขึ้น
- การสัมผัสสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเริ่มต้นจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย จากนั้นจะพิจารณาสืบค้นเพิ่มเติมอีก ได้แก่
- การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา (ฺBiopsy)
- การตรวจไขกระดูก (Bone marrow biopsy)
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (PET scan หรือ CT scan)
- การเจาะเลือดเพื่อดูผลเลือดต่าง ๆ
ซึ่งผลการตรวจทั้งหมดจะนำมาประเมินระยะของโรค เพื่อเป็นแนวทางในการพยากรณ์โรคและการรักษาโรคต่อไป
การประเมินระยะของโรค
แพทย์ผู้ทำการรักษาจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากการสืบค้นเพิ่มเติม แล้วนำมาประมวลว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของโรค เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการวางแผนการรักษาต่อ ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 4 ระยะ
ระยะที่ 1 : มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลืองเพียงบริเวณเดียว
ระยะที่ 2 : มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่ 2 ตำแหน่งขึ้นไป โดยต้องอยู่ภายในด้านเดียวกันของกะบังลม
ระยะที่ 3 : มีรอยโรคที่ต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลือที่อยู่คนละด้านของกะบังลม และ/หรือพบรอยโรคที่ม้ามร่วมด้วย
ระยะที่ 4 : มีรอยโรคกระจายออกไปเกินตำแหน่งเริ่มต้นที่พบ ตำแหน่งที่พบการกระจายได้บ่อย เช่น ตับ, ไขกระดูก, หรือปอด
นอกเหนือจากการประเมินระยะของโรคแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะอาศัยข้อมูลอื่น ๆ ของผู้ป่วยเพื่อนำมาคำนวณหาดัชนีประเมินการพยากรณ์โรคเพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะสามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง และกลุ่มเสี่ยงต่ำ
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- จะพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้นจะไม่มีอาการเจ็บ ต่างจากการติดเชื้อที่จะมีอาการเจ็บที่ก้อนเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น มีเหงื่อออกมากในกลางคืน
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลดเร็ว อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไอเรื้อรัง
- หายใจไม่สะดวก
- ต่อมทอนซิลโต
- ปวดศีรษะ ซึ่งอาการนี้มักพบบริเวณต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท
แต่บางครั้งการคลำเจอก้อนก็อาจไม่ใช่ก้อนมะเร็งเสมอไป เพราะอาจเป็นเรื่องของการอักเสบจากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นตัวโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติ รีบมาพบแพทย์
แนวทางการรักษา
การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีหลายวิธีประกอบกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิด และระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองการรักษาที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้สามารถใช้ได้ทั้งเป็นการรักษาแบบเดียว หรือการรักษาแบบผสมผสาน
- การเฝ้าติดตามโรค (Watch&Wait)
การเฝ้าติดตามโรคมักใช้ในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolent) หรือในรายที่ผู้ป่วยมีอาการจากตัวโรคไม่มาก ระหว่างการเฝ้าติดตามโรค จะมีการตรวจเลือด หรือตรวจทางรังสีเป็นระยะ ๆ
- การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
ยาเคมีบำบัดจะทำลายเซลล์มะเร็ง โดยไปรบกวนกรแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งการเลือกชนิดของยาเคมีบำบัดนั้นจะขึ้นอยู่กับชริดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไปการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะได้ยาเคมีบำบัดหลายขนานรวมกัน หรืออาจให้ร่วมกับการรักาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)
- การรักษาด้วยยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)
ยาโมโนโคลแอนติบอดี คือ สารสังเคราะห์ที่จะไปจับกับโปรตีนบนผิวของเซวล์มะเร็งหลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อมากำจัดเซลล์มะเร็งนั้น
- การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy)
คือการรักษาด้วยการใช้รังสีปริมาณสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
- การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Tranplantation)
หลักการของการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด คือ การทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไป แล้วแทนที่ด้วยเซลล์ที่ปกติ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค (Allogeneic transplantation)
- การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous transplantation)
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นโรคที่มีเนื้องอกร้ายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ต่อมน้ำเหลือง หรือโครงสร้างต่อม ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือช่วงอายุ 60-70 ปี ผู้ที่มีภาวะพร่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วย HIV และผู้ที่สัมผัสสารเคมีเช่น ยาฆ่าแมลง อาการเริ่มแรกคือพบก้อนบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ โดยก้อนเหล่านั้นจะไม่มีอาการเจ็บ ซึ่งในปัจจุบันสามารถรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ได้อย่างหายขาด ถ้าหากเป็นในระยะแรกเริ่ม รักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน และร่างกายมีการตอบสนองที่ดี ที่สำคัญการได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัว และเพื่อน เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคต่อไปนะคะ