โรคกรดไหลย้อน GERD
โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น “โรคกรดไหลย้อน” ในปัจจุบันเราจะได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องโรคนี้กันบ่อยมากขึ้น ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะ โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ หากปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การเกิดหลอดอาหารอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดอาหารตีบ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหารได้
โรคกรดไหลย้อนคือ ?
โรคกรดไหลย้อน ในทางการแพทย์ เรียกว่า Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหารส่วนน้อยอาจเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจมี หรือไม่มีหลอดอาหารอักเสบก็ได้ โรคนี้มีความสำคัญคือผู้ป่วยจะมีอาการแสบยอดอกร่วมกับมีภาวะเรอเปรี้ยว (รู้สึกเหมือนมีกรดซึ่งมีความรู้สึกเหมือนมีน้ำรสเปรี้ยว หรือขมไหลย้อนขึ้นมาที่คอหรือปาก) ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ หรือเป็นมากจนเกิดแผลที่รุนแรง จนทำให้ปลายหลอดอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ เยื่อบุของหลอดอาหารได้ บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ ในบางรายผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการ ทางด้านของ โรคหู คอ จมูก อาทิ ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง หรืออาจมาด้วยอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจาก โรคหัวใจ หรืออาจะเกิดกลิ่นปากได้
สาเหตุของกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อนเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณส่วนปลายของหลอดอาหาร (Lower Esophageal Sphincter: LES) ทำให้กรดหรือน้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาบริเวณหลอดอาหารจนสร้างความระคายเคืองกับผนังของหลอดอาหาร
นอกจากนี้ พฤติกรรมในชีวิตประจำวันหรือโรคบางชนิดมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดอาหารให้เกิดความผิดปกติได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในปริมาณมากขึ้น เช่น
- เข้านอนหลังรับประทานอาหารทันที
- สูบบุหรี่
- ดื่มน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว
- เป็นโรคอ้วน
- อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
โดยพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกิดภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
อาการของกรดไหลย้อน
- แสบร้อนบริเวณหน้าอก ซึ่งจะเป็นมากหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก
- มีอาการเรอเปรี้ยว มีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
- ท้องอืด แน่นท้อง คล้ายอาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน หลังรับประทานอาหาร
- เจ็บหน้าอก จุก คล้ายเหมือนมีก้อนติดอยู่ในลำคอ
- หืดหอบ ไอแห้ง ๆ เสียงแหบ
- เจ็บคอเรื้อรัง
นอกจากอาการข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนบางราย อาจมีอาการแสดงอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไป อาทิ เจ็บหน้าอก ไซนัสอักเสบ เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะต้องตรวจซักประวัติ และวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ โดยวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อน เช่น การส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร การตรวจวัดความเป็นกรดด่างในหลอดอาหาร
การรักษา
- การปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน วิธีนี้สำคัญที่สุดในการทำให้ผู้ป่วยมีอาการน้อยลงป้องกันไม่ให้เกิดอาการ และลดการกลับมาเป็นซ้ำ โดยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารและป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปที่คอ และกล่องเสียงมากขึ้น การรักษาโดยวิธีนี้ควรปฏิบัติไปตลอดชีวิต เพราะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ แม้ว่าจะมีอาการดีขึ้นแล้ว หรือหายดีแล้ว โดยไม่ต้องรับประทานยา
- การรับประทานยา เพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร หรือเพื่อการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหารในการกำจัดกรดปัจจุบันยาลดกรด เป็นยาที่สามารถยับยั้งการหลั่งกรดได้ดี เห็นผลการรักษาเร็ว การรักษาโรคกรดไหลย้อน ควรรับประทานยาให้สม่ำเสมอตามแพทย์สั่งไม่ควรลดขนาดของยา หรือหยุดยาเอง นอกจากแพทย์แนะนำและควรไปตามที่แพทย์นัดสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ในบางรายอาจใช้เวลานานประมาณ 1–3 เดือนอาการต่างๆจึงจะดีขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวันได้รับประทานยาตอเนื่อง 2–3 เดือน แพทย์จะปรับขนาดยาลงทีละน้อย พบว่าประมาณ 90 % สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา
- การผ่าตัด ส่วนน้อยที่รักษาด้วยวิธีนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นที่คอ และกล่องเสียง การรักษาวิธีนี้จะทำในกรณีอาการรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยยาอย่างเต็มที่แร้วไม่ดีขึ้น ไม่สามารถรับประทานยาที่ใช้ในการรักษาภาวะนี้ได้ ในรายที่ดีขึ้นหลังจากการใช้ยาแต่ไม่ต้องการที่รับประทานยาต่อ รายที่มีอาการกลับเป็นซ้ำบ่อย ๆ หลังหยุดยา
การป้องกันกรดไหลย้อน
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ อาหารรสจัด และการสูบบุหรี่
- ไม่ควรนอนหลังรับประทานอาหารทันที ควรให้อาหารย่อยอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนและจึงเข้านอน
- รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้พออิ่ม และควรควบคุมน้ำหนัก
โรคกรดไหลย้อน เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ส่วนหนึ่งก็มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง อย่างเช่นการดื่มน้ำอัดลม หรือแอลกอฮอล์ เข้านอนทันทีหลังจากรับประทานอาหาร ทำให้มีอาการแสบร้อนบริเวณอก มีอาการเรอเปรี้ยว มีน้ำรสเปรี้ยว หรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก จุกเสียด แน่นท้อง ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าว ควรมาทำการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ